วันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2554

แอปเปิ้ล...ราชาแห่งผลไม้ลดน้ำหนัก




การจำกัดปริมาณอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนักนั้น เป็นเรื่องยากสำหรับคุณผู้หญิง เพราะไหนจะต้องทนต่อความหิวจนกว่าจะผอม แต่พอผอมสมใจกลับโดนทักว่าทำไมดูซีดเซียว ไม่สดชื่น อวบอั๋นเหมือนตอนก่อนลดน้ำหนัก     การรับประทานผลไม้จึงเป็นวิธีหนึ่ง ที่ช่วยแก้ปัญหาได้ทั้งการลดน้ำหนัก และการมีสุขภาพที่สดใส เพราะผลไม้ประกอบไปด้วยเส้นใยอาหาร (Fiber) ที่ช่วยให้รู้สึกอิ่มท้องมีน้ำตาลธรรมชาติที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้เร็ว และนำไปใช้งานได้ทันที นอกจากนี้ ผลไม้ยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุอีกนับไม่ถ้วน ช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น ไม่ทรุดโทรม จึงเหมาะสำหรับสาว ๆ ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักเป็นที่สุด

     เมื่อถามคนใกล้ตัวว่า "อยากลดน้ำหนักจะทานผลไม้อะไรดี?" เชื่อว่าคงได้คำตอบกว่าครึ่งเป็นผลไม้รูปร่างอวบอัดที่ชื่อว่า "แอปเปิ้ล" แน่ ๆ เพราะแอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่มีสีสันชวนรับประทาน เนื้อสัมผัสกรอบ รสชาติอร่อย กลิ่นหอม มีคุณค่าทางโภชนาการสูง หาทานได้ง่าย ราคาไม่แพง และที่สำคัญคือไม่ทำให้อ้วน แอปเปิ้ลจึงได้ชื่อว่าเป็น "ราชาแห่งผลไม้ลดน้ำหนัก"

   กินแอปเปิ้ลวันละ 1 ผล ร่างกายแข็งแรง

     แอปเปิ้ลให้สารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตและวิตามินซีเป็นหลัก ซึ่งปริมาณวิตามินซีจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ช่วงเวลาเก็บเกี่ยว และความสด เนื้อแอปเปิ้ล 100 กรัม มีวิตามินซีประมาณ 6 มิลลิกรัม และให้พลังงานราว 59 แคลอรี ไม่ทำให้อ้วน แต่แอปเปิ้ลก็มีสารอาหารที่มีประโยชน์ชนิดอื่นทดแทน แบบที่เรียกได้ว่าไม่น้อยหน้าผลไม้อื่นแต่อย่างใด

      พลังงานที่ได้จากแอปเปิ้ลมีลักษณะพิเศษที่น่าสนใจคือ แอปเปิ้ลจะให้พลังงานค่อนข้างต่ำและค่อยเป็นค่อยไป เพราะแหล่งพลังงานของแอปเปิ้ลคือ น้ำตาลฟรักโทสซึ่งเป็นน้ำตาลที่เปลี่ยนรูปเป็นพลังงานอย่างช้า ๆ ในร่างกายช่วยให้ไม่รู้สึกหิว อิ่มนาน ผลที่ตามมาคือ ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ไม่สูงเร็วเหมือนกินขนมหวาน จึงเหมาะกับคนไข้เบาหวานด้วยเช่นกัน

      เปลือกและเนื้อของแอปเปิ้ลมีเส้นใยอาหารที่ชื่อว่า "เพคติน" ที่มีคุณสมบัติพองตัวได้มาก ช่วยเพิ่มกากในทางเดินอาหาร ทำให้อวัยวะในทางเดินอาหารมีการทำงานเป็นปกติ เพิ่มประสิทธิภาพในการขับถ่าย ซึ่งเป็นการช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ และยังช่วยจับคอเลสเตอรอลไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ป้องกันโรคคอเลสเตอรอลในเลือดสูง โรคหัวใจ และความดันโลหิตสูง

       นอกจากนี้ แอปเปิ้ลยังอุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่และสารอาหารที่มีประโยชน์อีกหลายชนิด ทั้งวิตามินเอ บี 1 บี 2 บี 6 ไบโอติน กรดโฟลิก กรดแพนโทเธอนิค เกลือแร่ คลอไรด์ เหล็ก ทองแดง แมกกานีส แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม ซิลิคอน และยังมีกรดอินทรีย์ 2 ชนิด คือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก ซึ่งช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมัน สารอาหารเหล่านี้ มีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน โดยเฉพาะวิตามินซี และสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบมากในแอปเปิ้ล จะช่วยป้องกันโรคหัวใจในผู้ที่รับประทานเป็นประจำ

    แอปเปิ้ลเขียว หรือแอปเปิ้ลแดง ที่มีประโยชน์มากกว่ากัน
       เมื่อวิเคราะห์จากคุณค่าสารอาหารต่าง ๆ เปรียบเทียบระหว่างแอปเปิ้ลเขียวและแอปเปิ้ลแดง พบว่าไม่มีความแตกต่างกันมากนัก แต่สิ่งที่แอปเปิ้ลแดงมีเหนือกว่าเล็กน้อยคือ ปริมาณของสารแอนโทไซยานิน ซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มฟลาโวนอยด์นั่นเอง

   ดื่มน้ำแอปเปิ้ล ก็ได้ประโยชน์เท่ากินทั้งลูก?

       จากที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จะพบว่าประโยชน์ของแอปเปิ้ลมาจากองค์ประกอบ 3 ตัวด้วยกันคือ จากเส้นใยอาหาร สารต้านอนุมูลอิสระที่มีมากบริเวณเปลือก และจากน้ำตาลฟรักโทสที่มีมากในเนื้อแอปเปิ้ล ดังนั้นหากต้องการดื่มน้ำแอปเปิ้ล ควรเลือกวิธีการปั่นทั้งผล โดยไม่ต้องปอกเปลือก เพราะหากใช้วิธีคั้นน้ำ จะทำให้ได้เฉพาะน้ำตาลและสารต้านอนุมูลอิสระอีกเล็กน้อย ซึ่งอาจทำให้อ้วนได้มากกว่าเดิม และไม่ได้รับประโยชน์ทั้งหมดจากแอปเปิ้ลอย่างครบถ้วน

   กินแอปเปิ้ลอย่างไรให้ได้ประโยชน์

      ในแง่โภชนาการ แอปเปิ้ลไม่ใช่ผลไม้ที่มีวิตามินหรือแร่ธาตุในปริมาณสูงมากนัก เมื่อเทียบกับกล้วย ฝรั่งหรือส้ม แต่หากทานแอปเปิ้ลวันละ 2-4 ลูก โดยไม่ปอกเปลือกก็จะได้รับเส้นใยอาหารและสารอาหารต่าง ๆ ในปริมาณที่พอเหมาะ

       ในปัจจุบันมีการกล่าวอ้างสรรพคุณของแอปเปิ้ลมากมาย เช่น บำรุงหัวใจ ลดคอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด ลดความอยากอาหาร ช่วยกระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่และฆ่าเชื้อไวรัส ซึ่งหากต้องการจะรับประทานแอปเปิ้ลสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมน้ำหนักแล้ว ก็ควรต้องทานเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน และผักผลไม้อื่น ๆ ร่วมด้วย เพื่อป้องกันการขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย

`` ผลไม้ลดความอ้วน ``

ผลไม้รสเปรี้ยวใครที่กำลังควบคุมน้ำหนัก แต่ปฎิเสธการไปงานเลี้ยงอาหารค่ำที่ไม่มีอาหารไขมันต่ำอยู่ในเมนูไม่ได้ ลองสั่งน้ำมะนาวคั้นสดมาจิบหรือส้มสดฝานแล้วสัก 4-5 ชิ้น มากินเสริมบ้าง เพราะกรดธรรมชาติจากผลไม้เหล่านี้จะช่วยย่อยไขมันและช่วยให้ร่างกายย่อยอาหารดีขึ้น

          กล้วย ผลไม้เบสิกๆ แบบนี้ ใครๆ ก็รู้ว่ามีประโยชน์มากมาย แต่เชื่อหรือไม่ว่า กล้วยสามารถช่วยล้างลำไส้ได้เป็นอย่างดี เพราะอุดมไปด้วยธาตุโปแตสเซียมและวิตามินซี และยังให้พลังงานสูง ดังนั้นควรกินกล้วยให้ได้วันละ 1 ลูกเป็นประจำทุกวัน

          แอปเปิ้ล เป็นผลไม้ที่ดีที่สุดสำหรับการขจัดของเสียออกจากร่างกาย สารเพกตินในแอปเปิ้ลจะช่วยนำสารพิษไปกำจัดทิ้ง ทั้งยังป้องกันไม่ให้โปรตีนในลำไส้เกิดการบูดเน่า แอปเปิ้ลยังมีเส้นใยมาก ซึ่งมันจะทำหน้าที่เป็นไม้กวาด ทำความสะอาดลำไส้ช่วยให้ตับและระบบย่อยทำงานได้ดียิ่งขึ้น กระตุ้นน้ำย่อย นอกจากนี้ยังมีวิตามินและเกลือแร่ แต่อย่าปอกเปลือกเชียวนะ
   

          สับปะรด มีเอนไซม์โปรตีนสูง เอนไซม์ตัวนี้จะช่วยการทำงานของกรดไฮโดรคลอริกในกระเพาะ และช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้น เชื่อกันว่าสับปะรดช่วยรักษาอาการอักเสบในทางเดินอาหาร ช่วยในการซ่อมแซมส่วนต่างๆ ที่สึกหรอช่วยการทำงานของต่อมไร้ท่อ และช่วยกำจัดน้ำมูก

          แตงโม มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ดังนั้นจึงช่วยฟอกล้างร่างกายได้เป็นอย่างดี ใช้รักษาแผลในกระเพาะ ลดความดันเลือดสูง ทำให้สบายท้อง น้ำคั้นจากเปลือกของแตงโมและเมล็ด หากดื่มก่อนกินเนื้อแตงโมในมื้ออาหารสักครึ่งชั่วโมงจะทำให้คุณได้ประโยชน์สุงสุด เนื่องจากเปลือกของมันอุดมด้วยคลอโรฟิลล์ และเมล็ดอุดมด้วยวิตามิน   น้ำแครนเบรอรี่คั้น สำหรับผู้ที่มีอาการติดเชื้อที่ท่อปัสสาวะง่าย แนะน้ำให้ดื่มน้ำแครนเบอรี่คั้น 1 แก้วทุกวัน เพราะสารพฤกษ-เคมีที่อยู่ในผลไม้ชนิดนี้จะช่วยป้องกันอาการติดเชื้อที่ไม่พึงปรารถนาต่างๆ ได้ คุณอาจจะผสมน้ำแครนเบอรี่คั้นกับเครื่องดื่มแก้วโปรดเพื่อให้ได้ค็อกเทลแสนอร่อย หรือเป็นเครื่องดื่มเรียกน้ำย่อยก่อนอาหารก็ได้ 
       
   

          มะละกอ / มะม่วง มีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่มะม่วงมีสารสำคัญน้อยกว่ามะละกอเล็กน้อย ผลไม้ทั้งสองชนิดมีเอนไซม์ชื่อ ปาเปนซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับน้ำย่อยเปปซินในกระเพาะอาหาร ดังนั้นมันจึงช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัว ได้เร็วขึ้นเช่นเดียวกับโปรเมลิน ทั้งมะละกอและมะม่วงดีสำหรับทำความสะอาดและช่วยย่อยอาหาร เชื่อกันว่ายังช่วยลดอาการ ซึมเศร้าได้อีกด้วย 
 
          องุ่น เป็นสารฟอกล้างสำหรับผิวหนัง ตับ ลำไส้ และไตโดยเฉพาะ เนื่องจากองุ่นมีคุณสมบัติรักษาน้ำมูกที่ออกมาจากเยื่อเมือกต่างๆ ในร่างกาย องุ่นยังให้พลังงานสูงและนำไปใข้ได้ง่าย อุดมไปด้วยเกลือแร่ ดังนั้น ช่วยบำรุงเลือดและซ่อมสร้างเซลล์ ในร่างกาย 
          ฝรั่ง อุดมไปด้วยวิตามินซี ซึ่งมีบทบาทในการสร้างคอลลาเจนที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณเต่งตึง ไม่แก่ก่อนวัย ฝรั่ง 1 ขีดมีวิตามินซีสูงถึง 180 มิลลิกรัม  
          สตรอเบอร์รี่ เป็นผลไม้เมืองหนาว เหมาะกับผู้ป่วยที่เป็นโรคเกาต์และไขข้ออักเสบ นั่นเป็นเพราะว่า สตรอเบอร์รี่มีคุณสมบัติในการชำระล้างระบบต่างๆ ในร่างกาย นอกจากนี้ยังเหมาะกับคนที่เป็นความดันโลหิตสูง การแพทย์แผนโบราณแนะนำให้ผู้ป่วยที่เป็นนิ่วในไตรับประทานสตอรเบอร์รี่ ผู้ที่เป็นโรคโลหิตจางและร่างกายอ่อนเพลีย ก็สามารถทานได้เพราะมีเหล็กสูง 





          เงาะ เป็นผลไม้รสหวาน เปรี้ยว ฤทธิ์อุ่น ไม่มีพิษ รับประทานเงาะสดสามารถแก้อาการท้องร่วงชนิดรุนแรงได้ผลดี เปลือกผล เงาะนำมาต้มกินน้ำเป็นยาแก้อักเสบ มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย รักษาอาการอักเสบในช่องปาก และโรคบิดท้องร่วง ข้อควรระวังอย่างหนึ่ง คือเม็ดในของเงาะ มีพิษ แม้ว่าจะเอาไปคั่วจนสุกแล้ว แต่ถ้ากินมากเกินไปจะมีอาการปวดท้อง เวียนศรีษะ มีไข้คลื่นไส้ อาเจียน ดังนั้นเม็ดเงาะจึงไม่ควรรับประทาน
 
          ลำใย มีสารอาหารมากมาย ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลกลูโคส ซูโคสและฟรุกโตสและมีวิตามินชนิดต่างๆ เช่น วิตามินซีวิตามินบ 1, 2 สูง เนื้อลำใยมีรสหวาน มีสรรพคุณแก้ผอมแห้งแรงน้อย นอนไม่หลับ ขี้ลืม ใจสั่น บำรุงร่างกาย บำรุงประสาท ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ช่วยบำรุงกำลังของสตรี ช่วยย่อยอาหาร และบำรุงโลหิต      

          มะพร้าว น้ำมะพร้าวเป็นเครื่องดื่มที่มีคุณค่าทางอาหารสูง รสหวาน หอม ชุ่มคอ ในน้ำมะพร้าวมีน้ำตาล โปรตีน โซเดียมแคลเซียม โปแตสเซียม ซึ่งไม่เหมาะสำหรับคนที่เป็นโรคหัวใจและโรคไต สรรพคุณเพิ่มเติมเป็นยาระบาย แก้ท้องเสีย ขับปัสสาะวะ แก้พิษ แก้กระหายน้ำ แก้นิ่ว แก้อาเจียนเป็นโลหิตและบวมน้ำ
          ส้มโอ เป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่มีวิตามินซีมาก เนื่องจากมีเปลือกหนาจึงทำให้เก็บไว้ได้นานกว่าส้มชนิดอืนๆ เป็นผลไม้ที่มีรสดีชุ่มคอ เนื้อส้มเปรี้ยวเย็นไม่มีพิษ สรรพคุณที่สำคัญคือ ละลายเสมหะ แก้ไอ บำรุงกระเพาะ ช่วยย่อย ลดบวมแก้ปวด  
          น้อยหน่า เนื้อสีขาวมีรสหวาน มีแป้งมากและยังมีวิตามินซีสูง ช่วยป้องกันและรักษาโรคเลือดออกตามไรฟันได้ แถมสรรพคุณอีกนิด ใบสดและเมล็ด สามารถนำมาใช้รักษาโรคกลาก เกลื้อน และฆ่าเหาได้
          แก้วมังกร มี 2 ชนิด คือสีขาวและสีแดง แต่สีแดงจะมีรสหวานกว่า ประโยชน์ที่เด่นของแก้วมังกรคือ เป็นผลไม้ที่ช่วยลดน้ำหนักซึ่งเหมาะสำหรับคุณๆ ทั้งหลายที่ต้องการรักษารูปร่าง ไม่มีไขมันส่วนเกิน คุณค่าอาหารมีทั้งแคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็กวิตามินบี 1, บี 2, บี 3 แต่ที่เยอะทีสุดคือวิตามินซ๊ จึงช่วยทั้งในเรื่องการบำรุงผิวพรรณ กระดูกและฟันแข็งแรง และช่วยในเรื่องของสายตาได้อีกด้วย
 
          ขนุน เป็นผลไม้ที่มีกลิ่นและรสชาติหอมหวาน เนื้อของผลขนุนมีสรรพคุณช่วยย่อยอาหาร ช่วยดูดซึมแก้พิษจากการดื่มนมและยังช่วยแก้กระหายได้เป็นอย่างดี ใบของต้นขนุนตากแห้งสามารถใช้ห้ามเลือด และเป็นยาสมาแผลได้ ส่วนยางของขนุน มีสรรพคุณในการแก้ปวด ลดอาการอักเสบ บวม สามารถรักษาอาการต่อมน้ำเหลืองอักเสบ และรักษาแผลเปี่อยเรื้อรังให้หายได้  
          ละมุด เป็นผลไม้ที่มีรสหวาน มีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาล วิตามิน เกลือแร่ชนิดต่างๆ รวมไปถึงการมีแคลเซียมสูง    
          ลิ้นจี่ อุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน มีสรรพคุณเป็นยาช่วยย่อยอาหาร บำรุงอวัยวะภายในต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นม้าม หรือระบบประสาท หากนำเนื้อลื้นจี่ตากแห้งมาต้มกินเป็นประจำ จะช่วยบรรเทาอาการปวดจากโรคไส้เลื่อน หรือลูกอัณฑะบวมและยังรักษาโรคโลหิตจางได้อีกด้วย   
          มังคุด การบริโภคเนื้อมังคุดจะช่วยในเรื่องของการขับถ่าย และยังได้สารอาหารวิตามินและเกลือแร่ต่างๆ อีกหลายชนิด เช่นน้ำตาล กรดอินทรีย์ แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก เปลือกมังคุดก็มีสรรพคุณเป็นยาแก้ท้องเสีย แก้ท้องร่วงเรื้อรัง ถ่ายเป็นมูกเลือด โดยการใช้เปลือกสดหรือเปลือกแห้งฝนกับน้ำรับประทาน หรือจะใช้เปลือกแห้งต้มน้ำรับประทานก็ได้ผลเช่นกัน    

นอกจากผลไม้เหล่านี้ช่วยลดความอ้วนแล้วยังมีประโชยน์อีกมากมาย 

Banana ~
กล้วย ช่วยป้องกันโรคต่าง ๆ ที่จะเกิดกับ ร่างกายได้อีก หลายโรค
1. โรคโลหิตจาง
ในกล้วยมีธาตุเหล็กสูงจะเป็นตัวช่วยกระตุ้นการผลิตฮีโมโกลบินในเลือดและจะช่วยในกรณีที่มีสภาวะขาดกำลัง หรือภาวะ โลหิตจาง
2. โรคความดันโลหิตสูง
มีธาตุโปรแตสเซียมสูงสุดแต่มีปริมาณเกลือต่ำทำให้เป็นอาหารที่สมบูรณ์แบบที่สุงที่จะช่วยลดความดันโลหิตได้มาก
3. โรคท้องผูก
ปริมาณเส้นใยและกากอาหารที่มีอยู่ในกล้วยช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติและยังช่วยแก้ปัญหาโรคท้องผูกโดยไม่ต้องกินยาถ่ายเลย
4. อาการเสียดท้อง
กล้วยมีสารลดกรดตามธรรมชาติที่มีผลต่อร่างกายของเรา ถ้ามีปัญหาเกี่ยวกับอาการเสียดท้องลองกินกล้วยสักผลคุณจะรู้สึกผ่อนคลายจากอาการเสียดท้องได้
5. โรคลำไส้เป็นแผล
กล้วยมีความอ่อนนิ่มพอดีเป็นผลไม้ชนิดเดียวที่ทานได้ง่ายๆไม่ยุ่งยากสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องโรคลำไส้เรื้อรังและกล้วยยังมีสภาพเป็นกลางไม่เป็นกรดทำให้ลดการระคายเคืองและยังไปเคลือบผนังลำไส้และกระเพาะอาหารด้วย
6. ความเครียด
โปรแตสเซียมเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยให้การเต้นของหัวใจเป็นปกติการส่งออกซิเจนไปยังสมองและปรับระดับน้ำในร่างกายเวลาเกิดอารมณ์เครียด อัตรา metabolic ในร่างกายของเราจะขึ้นสูงและทำให้ระดับโปรแตสเซียมในร่างกายของเราลดลงแต่โปรแตสเซียมที่มีอยู่สูงมากในกล้วยจะช่วยให้เกิดความสมดุล
>> เห็นหรือไม่ว่า กล้วยรักษาโรคต่าง ๆ อย่างธรรมชาติได้มากมายท่านควรลองพิสูจน์ด้วยตัวเองบ้างว่าจะได้ผลตามที่กล่าวหรือไม่??
 Apple ~
แอปเปิ้ลมีสารสำคัญ คือ เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และเส้ยใยไฟเบอร์ ชนิละลายน้ำ ที่ชื่อ เพคติน แต่ที่น่าสนใจสำคัญสำหรับผู้หญิงคือ เพคติน นี้มีคุณสมบัติช่วยลดความอยากอาหาร ลดน้ำหนัก และลดโคเลสเตอรอล
แอปเปิ้ล ช่วยลดความหิวได้ เพราะแอปเปิ้ลมีแป้งและน้ำตาล ในรูปแบบของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวถึง 75 เปอร์เซนต์ ทำให้ร่างกายสามารถดูดซับน้ำตาลพิเศษชนิดนี้ได้เร็ว และนำไปใช้ประโยชน์ได้ในเวลาไม่เกิน 10 นาที ดังนั้นความอยากอาหารจึงลดลง ทำให้ไม่รู้สึกหงุดหงิด หรือ อ่อนเพลีย
แอปเปิ้ล 2-3 ผลต่อวัน จะช่วยลดปริมาณโคเลสเตอรอลในกระแสเลือดได้ เพราะแอปเปิ้ลมีเพคติน ซึ่งเป็นไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ ผลจากการวิฉัยชี้ให้เห็นว่า ทางเดินอาหารย่อยสลายไขมัน และแยกโคเลสเตอรอลออกมาเสร็จสิ้นแล้ว เพคตินจากแอปเปิ้ลจะคอยดักจับโคเลสเตอรอลเหล่านั้น พาไปทิ้งก่อนที่จะถูกดูดกลับเข้าร่างกาย
Pineapple ~
สับปะรด เป็นพืชที่รสชาติดี ใช้กินเป็นผลไม้ หรือปรุงเป็นอาหาร ส่วนมากนิยมนำไปแปรรูปทำเป็นสับปะรดกระป๋อง และสับปะรดกวน ส่วนใบมีเส้นใยยาวเหนียว สามารถนำไปทำเป็นเชือก หรือ ทำเป็นกระดาษ สับปะรดมีรสหวานฝาดเล็กน้อย
สารอาหารที่อยู่ในสับปะรดมีประโยชน์จำนวนมาก และมีคุณค่าทางยาสูง มีสรรพคุณช่วยย่อยอาหารจำพวกเนื้อ เสริมการดูดซึมอาหาร ดับร้อนแก้กระหาย สับปะรดยังมีสารจำพวก น้ำตาล กรด วิตามิน อยู่หลายชนิด
การรับประทานสับปะรดเป็นประจำ จะช่วยป้องกันโรค ไตอักเสบ ความดันโลหิตสูง หลอดลมอักเสบ สับปะรดที่เริ่มนิ่ม มีน้ำเหนียว ๆ ไหลออกมา แสดงว่าสุกมากเกินไปและเริ่มเน่า ไม่ควรรับประทาน
การรับประทานที่ถูกวิธี คือ ใช้มีดใหญ่เฉือนเปลือกออกจนหมด จากนั้นจึงใช้มีดตัดส่วนตาออกเป็นร่องเฉียง เป็นแถว ๆ เอาส่วนตาออกแล้วตัดเป็นชิ้น แล้วเอาเกลือแกงทาให้ทั่วหรือมิฉะนั้นก็แช่ในน้ำเกลืออ่อน ๆ ประมาณ 2-3 นาที การทาเกลือหรือแช่ในน้ำเกลือนอกจากจะทำให้รสชาติดีขึ้นแล้ว ยังเป็นการทำลายสารจำพวก Glycoalkaoid และ เอ็มไซม์ บางชนิด ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ได้ หลังรับประทาน
Water melon ~
แตงโม มีสารที่เรียกว่า lycopene ที่มีแอนตี้ออกซิเดนท์ และช่วยในการบำรุงหัวใจ รวมถึงมะเร็ง สารนี้มีอยู่มากในมะเขือเทศเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกันแล้ว แตงโมมีมากกว่าถึง 40 เปอร์เซ็นต์ วิตามินซี แตงโมเสี้ยวใหญ่ๆ จะเต็มไปด้วยวิตามินซีที่จำเป็นต่อร่างกายของเรา
การดื่มน้ำแตงโมช่วยเพิ่มเบต้าแคโรทีน ซึ่งร่างกายใช้ในการสร้างวิตามินเอ และการมีวิตามินเอมากๆ ก็จะช่วยป้องกันการติดเชื้อได้
แตงโมเป็นผลไม้ที่มี citrulline อยู่มาก สารตัวนี้จะช่วยในการรักษาแผนได้เร็ว อย่าดื่มแต่น้ำแตงโม ให้กินเนื้อมันเข้าไปด้วย โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นสีขาวอยู่ลึกลงไป แม้รสชาติจะไม่หวาน แต่มีประโยชน์ทีเดียวนะ
แตงโม เต็มไปด้วยโพแทสเซียม ที่จะช่วยควบคุมอัตราความดันโลหิต เรียกว่ากินแล้วจะอารมณ์ดี ยิ่งกินแบบเย็นๆ ยิ่งสบายใจ
Papaya ~
มะละกอดิบและมะละกอห่าม มีรสชาติจืด นำมาประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู เช่น แกงส้ม ผัดไข่ แกงเหลือง แกงอ่อม ต้มจิ้มน้ำพริก และที่ลืมนึกถึงไม่ได้เลยคือ ส้มตำ อาหารรสแซบเมนูยอดฮิตของคนไทย หรือนำมาแช่อิ่มเป็นของหวานก็เข้าที ผลสุกมีรสหวานกลิ่นหอมให้คุณค่าทางโภชนาการสูง มะละกอดิบมีวิตามินซี เอนไซม์ ปาเปอิน และไคโมปาเปน ที่สามารถย่อยโปรตีนในเนื้อสัตว์ได้ หากต้องต้มเนื้อให้เปื่อยเร็วก็ให้ใส่ยางมะละกอลงไปเนื้อก็จะเปื่อยเร็วทันใจ
มะละกอสุกมีสีเหลืองส้มปนแดง มีวิตามินเอบำรุงสายตา มีวิตามินซีรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน มีธาตุเหล็กบำรุงเลือดมีแคลเซียมบำรุงกระดูก และมีฟอสฟอรัสสูงที่สำคัญมะละกอยังอุดมไปด้วยสารเบต้าแคโรทีนที่ช่วยต้านมะเร็ง มีเส้นใยอาหรช่วยระบบการขับถ่าย และมีสารเพคตินที่เคลือบกระเพาะอาหารได้อีกด้วย
ใบมะละกอสดมีสรรพคุณทางยา แก้อาการปวดบวมได้ โดยนำมาย่างไปหรือลวกกับน้ำร้อนประคบในขณะอุ่นตรงบริเวณที่ปวด ใบต้มกินเพื่อขับปัสสาวะ เมล็ดต้มกินเพื่อขับพยาธิ ขับประจำเดือน ยางมะละกอแก่พิษตะขาบกัดแมลงสัตว์กัดต่อย
นอกจากการใช้เป็นยาแล้วมะละกอยังมีประโยชน์ด้านอื่นๆ อีก เช่น ใช้ลำต้นและก้านของมะละกอ ต้มรวมกับสบู่เพื่อการขจัดคราบเปื้อนของผ้า และมะละกอสุกนำมาบดและพอกหน้าเพื่อทำให้ผิวสดใสและชุ่มชื้นได้
Mango ~
มะม่วง เป็นผลไม้ที่ทานได้ทั้งผลดิบและผลสุกซึ่งคุณค่าทางโภชนาการของมะม่วงนั้นมีมากมาย ดังนี้
ไฟเบอร์ ช่วยในการย่อยอาหาร และเผาผลาญพลังงาน
วิตามินเอ ซี และอี ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
โปแตสเซียม และทองแดง ช่วยให้ร่างกายทำงานเป็นปกติ ปรับสมดุลภายใน
สารฟลาโวนอยด์ กำจัดไขมันในเลือดได้สารไตรเทอปีน ต้านการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งผิวหนัง
กรดอะมิโนทริปโตเแฟน ช่วยให้ร่างการหลั่งฮอร์โมน
โนเซโรโทนิน ทำให้ผ่อนคลาย และหลับสบาย
Grape ~
องุ่น เป็นอาหารบำรุงร่างกายอีกชนิดหนึ่ง นอกจากจะมีคุณค่าทางอาหาร ยังมีสรรพคุณทางยาที่ดีหลายชนิด สารอาหารที่สำคัญ คือน้ำตาล และสารอาหารจำพวกกรดอินทรีย์อีกประมาณ 7-8 ชนิด น้ำตาลกลูโคส น้ำตาลซูโคส วิตามินซี นอกจากนี้ยังมีเหล็ก และแคล   เซี่ยมองุ่นยังสามารถนำไปทำเหล้าองุ่น ซึ่งเป็นเหล้าบำรุง ส่วนเครือและราก ใช้เป็นยาขับลม ขับปัสสาวะ รักษาโรคไขข้ออักเสบ ปวดเอ็นกระดูก และมีฤทธิ์ระงับประสาท แก้ปวด แก้อาเจียนอีกด้วย
การรับประทานองุ่นเป็นประจำ จะมีส่วนช่วยในการบำรุงสมอง บำรุงหัวใจ แก้กระหาย ขับปัสสาวะ บำรุงกำลัง คนที่ร่างกายผอมแห้ง แรงน้อย แก่ก่อนวัย ไม่มีเรี่ยวแรง ถ้ารับประทานองุ่นเป็นประจำ จะช่วยเสริมทำให้ร่างกายค่อยๆแข็งแรงขึ้นได้
Guava ~
ฝรั่งเป็นผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามิน โดยเฉพาะวิตามินซี และวิตามิน เอ นั้น มีมากกว่ามะนาวถึง 4 เท่า ทำให้ฝรั่งมีคุณค่าในการสร้างความต้านทานโรคหวัดได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีการแนะนำให้รับประทานฝรั่งเพื่อลดความอ้วน เพราะฝรั่งเป็นผลไม้ที่มีความกรอบ เคี้ยวเพลิน และไม่เพิ่มน้ำหนัก คุณค่าทางอาหารประกอบด้วย วิตามินเอ,วิตามินซี, B1,B2,แคลเซียม,ฟอสฟอรัส,นอกจากนี้ยังมีสารพวกเพคตินและแทนนิน (TANNIN) จำนวนมากด้วย สำหรับคุณประโยชน์ทางอาหารสรุปได้ดังนี้
วิตามินซีและวิตามินเอ ช่วยให้มีความต้านทานต่อโรคหวัดเพิ่มขึ้น บำรุงเหงือกและฟัน , ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน
สารเพคติน (PECTIN) เป็นยาระบายอ่อน ๆ แก้ท้องผูกได้ดี
สารแทนนิน (TANNIN) มีฤทธิ์เป็นยาฝาดสมาน สามารถบรรเทาอาการท้องร่วงและห้ามเลือดได้ , ช่วยสมานแผลและบรรเทาอาหารเจ็บคอ นอกจากนี้ยังช่วยระงับกลิ่นปากและรักษาแผลเรื้อรังเช่น น้ำกัดเท้า และผื่นคันจากผิวหนังที่ถูกใบไม้คันได้ด้วย
Stawberry ~
สตอเบอร์รี่ อุดมไปด้วยวิตามินซี มีประโยชน์ต่อเหงือก และฟัน หรือหาทานง่าย ๆ ประโยชน์ของสตอเบอรี่ มีมากมาย เช่น นำมาพอกหน้า จะช่วยทำให้ผิวสดชื่น และชุ่มชื้น หรือถ้าเราทานสตอเบอรี่เป็นประจำก็จะทำให้ผิวดี และมีสุขภาพแข็งแรง เพราะในสตอเบอรี่มีวิตามิน และแร่ธาตุบางชนิดช่วยลดความหยาบกร้านของผิว ช่วยชะลอความแก่ชรา แค่คุณทานง่าย ๆ แค่นี้ คุณก็สวยได้แล้วค่ะ เสมือนดังที่ว่า “กิน อย่างปลอดภัย/สวย…อย่างธรรมชาติ”
Rambutan ~
เปลือกผลเงาะ นำมาต้มกินน้ำ เป็นยาแก้อักเสบ มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย รักษาอาการอักเสบในช่องปาก และโรคบิดท้องร่วง  มีข้อควรระวังอย่าหนึ่งคือเม็ดในของเงาะ มีพิษ แม้ว่าจะเอาไปคั่วจนสุกแล้ว แต่ถ้ากินมากเกินไปจะมีอาการปวดท้อง เวียนศรีษะมีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน ดังนั้นเม็ดเราไม่ควรจะรับประทาน
Longan ~
ใบ ใช้ต้มน้ำกินแก้โรคมาเลเรีย ริดสีดวงทวาร ไข้หวัด
ดอก ใช้แก้หนองต่างๆ
เนื้อลำไย เป็นยาบำรุงในคนที่เป็นโรคประสาทอ่อนๆ นอนไม่หลับ รับประทางขนาด 10-15 กรัม บำรุงม้าม บำรุงหัวใจ

เมล็ด ตากแห้งบดเป็นผงใช้ทาภายนอก แก้กรากเกลื้อน แผลฝีหนอง คนจีนใช้สระ ผม เนื่องจากมีสารซาโนนินใช้ห้ามเลือดเนื่องจากมีรสฝาด

รากสด ต้มกับน้ำตาลกรวด ดื่มแต่น้ำ แก้ช้ำในพลัดตกหกล้ม

รากแห้ง ต้มกับน้ำ แก้อาการวิงเวียนศรีษะ อ่อนเพลีย แก้อาการตกขาว ขับพยาธิ เส้นด้าย

เนื้อลำไยสด มีน้ำตาล 3 ชนิด คือ กลูโคส ฟรุตโตส และซูโครส์ กรดอินทรีย์หลายชนิด เช่น กรดกลูโคนิค กรดมาลิก กรดซิตริก และกรดอะมิโน ประมาณ 9 ชนิด

เนื้อลำไยแห้ง มีเกลือแร่ที่มีประโยชน์ที่ร่างกายต้องการในปริมาณน้อยอยู่ เช่น ทองแดง สังกะสี แมงกานีส ในทางการแพทย์จีนจัดอยู่ในกลุ่มสมุนไพรที่มีสรรพคุณบำรุงเลือด
Coconut ~
ราก มีประโยชน์เป็นยาสมุนไพร ต้มกับน้ำใช้เป็นน้ำยาบ้วนปาก ผสมกับรากหมาก รากตาลโตนดต้มกับน้ำมะพร้าว กินแก้ตานขโมย
ลำต้น ซึ่งเป็นไม้เนื้อแข็ง นำมาใช้ประโยชน์ต่าง ๆ เป็นเสา คาน โครงสร้างบ้านเรือน และเครื่องเรือนต่าง ๆ เช่น โต๊ะ ตู้ เตียง
ยอดมะพร้าว เลาะเอาขอบแข็งรอบนอกออก นำมาทำอาหารได้หลายอย่าง เช่น แกง ผัด ยำ
ก้านและใบมะพร้าว ใช้มุงหลังคา ห่อขนมจาก ข้าวต้มลูกโยน สานเป็นตะกร้า ของใช้อื่น ๆ ก้านทำเป็นไม้กวาดและไม้กลัด
จั่นมะพร้าว ตัดปลายออกจะให้น้ำหวาน เมื่อนำไปเคี่ยวจะได้น้ำตาลมะพร้าวที่มีรสหวานอร่อย
ลูกมะพร้าว น้ำและเนื้อมะพร้าวกินได้ทั้งสดและนำมาประกอบอาหาร เนื้อมะพร้าวแก่นำมาคั้นเป็นน้ำกะทิ หรือกลั่นทำน้ำมันได้
กาบมะพร้าว นำมาทอเป็นเชือก เป็นพรมเช็ดเท้า เอามาทุบให้แตกใช้เพาะชำต้นไม้ ทำหมวก ภาพประดับผนัง
กะลามะพร้าว ทำเป็นภาชนะเครื่องใช้และเครื่องประดับ เช่น ช้อน ทัพพี ที่ติดเสื้อ กระเป๋า
จากประโยชน์ของมะพร้าวดังที่กล่าวมาแล้วนั้น มะพร้าวยังมีบทบาทต่อความเชื่อถือของคนไทยและเพื่อนบ้าน โดยเชื่อว่ามะพร้าวเป็นของดี เป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ จึงใช้ในพิธีมงคลต่าง ๆ หรือใช้เป็นของไหว้สังเวยบวงสรวงเทวดา
Pomelo ~
ส้มโอ มีประโยซน์ตั้งแต่เปลีอกใช้เชื่อมเป็นขนมหวาน เช่นหวัดเพชรบุรี ทำเปลือกส้มโอเชื่อมจนเป็นสินค้าพื้นเมือง ไปขายไกลๆ ส่วนเนื้อที่เปรี้ยวใช้ประกอบกับข้าวยำทางภาคใต้ เนื้อหวานอมเปรี้ยวใช้ทำส้มโอลอยแก้ว ส่วนเนื้อหวานใช้ รับประทานเป็นผลไม้สด
Sweetsop ~
ใบ รสเฝื่อนเมา บดพอกแก้ฟกบวม ฆ่าพยาธิผิว หนัง แก้กลากเกลื้อน รับประทานฆ่าเชื้อโรค ภายใน ขับพยาธิต่างๆ
เปลือกผลดิบ รสเฝื่อนเมา ฝนกับสุราทาแผล แก้งูกัด
เมล็ด รสเมามัน ตำผสมน้ำมันมะพร้าว ทาฆ่าพยาธิ ผิวหนัง หิด เหา
เปลือกต้น รสฝาดเฝื่อน สมานบาดแผล
ราก รสเฝื่อน ระบายอุจจาระธาตุ
Dragon fruit ~
แก้วมังกร ผลไม้บริสุทธิ์ปลอดภัยจากสารพิษ มีกากใยสูง แคลอรี่ต่ำ อุดมไปด้วยวิตามินซี คลอโรฟิลล์ เมล็ดของแก้วมังกรอุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวสามารถต่อต้านปฏิกริยาอ๊อกซิเดชั่นทานแล้วนอกจากดับร้อนผ่อนกระหายยังบำรุงสุขภาพผิวพรรณสดชื่น ในสุภาพสตรีจะช่วยกระตุ้นต่อมน้ำนม ใช้เป็นผลไม้เสริมสุขภาพ และความงามได้เป็นอย่างดี
Jackfruit ~
ประโยชน์จากขนุน
ใบ รสฝาดมันรักษาหนองเรื้อรัง และใบสดนำมาตำให้ละเอียดอุ่นพอกแผล
ราก รสหวานอมขม แก้ท้องร่วง แก้ไข้ แก้ธาตุน้ำกำเริบ โลหิตพิการ ฝาดสมานบำรุงกำลัง และบำรุงโลหิต
แก่นและราก รสหวานอมขม บำรุงโลหิต แก้กามโรค ขับพยาธิ ระงับประสาท และแก้โรคลมชัก
ยาง รสจืด ฝาดเฝื่อน แก้อักเสบบวม แผลมีหนองเรื้อรัง แก้ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ ขับพยาธิ และขับน้ำนม
เนื้อหุ้มเมล็ด รสหวานมันหอม บำรุงกำลัง และชูหัวใจให้ชุ่มชื่น
เนื้อในเมล็ด รสหวานมัน บำรุงน้ำนม ขับน้ำนม และบำรุงกำลัง
ขนุนอ่อน มีใยในอาหารสูงมาก ซึ่งจะช่วยความสะอาดลำไส้ และยังช่วยในการรักษาแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ด้วย
นอกจากนี้ขนุนยังนำมาแปรรูปเป็นอาหารต่าง ๆ ได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น ขนุนแผ่น ขนุนกวน ขนุนเชื่อม หรือแม้แต่ข้าวเหนียวขนุน และอื่น ๆ อีกมากมาย
Sapodilla ~
ละมุด เป็นผลไม้ไทยที่ให้ความหวานมาก แต่ขณะเดียวกันก็เป็นผลไม้ที่ให้เส้นใยอาหารค่อนข้างสูง ใยอาหารเหล่านี้ส่งผลดีต่อระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย ทำให้การทำงานเป็นปกติหรืออาจจะดีมากขึ้น เมื่อการขับถ่ายเป็นปกติไม่มีการตกค้างของอาหาร ก็จะช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ได้อีกด้วย นอกจากนี้แล้วความหวานของน้ำตาล ยังส่งผลต่ออารมณ์และฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกาย ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า คิดจะทำอะไรก็คล่องแคล่วไม่เกียจคร้าน และทำอย่างมีความสุข
ยางของละมุด ยังมีประโยชน์คือนำมาทำหมากฝรั่งที่วัยรุ่นชอบเคี้ยวกันแบบเพลินๆ และยังนำมาทำรองเท้าบูตอีกด้วย จึงมีประโยชน์ต่อสุขภาพและให้ประโยชน์ในด้านการใช้สอยด้วย
Litchi ~
ลิ้นจี่ ผลไม้ที่อุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต และโปรตีน มีสรรพคุณเป็นยาช่วยย่อยอาหาร บำรุงอวัยวะภายในต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นม้าม หรือระบบประสาท นอกจากนี้ ลิ้นจี่ยังช่วยในการบรรเทาอาการ กระหายน้ำได้ และ หากนำเนื้อลิ้นจี่ตากแห้งมาต้มกินเป็นประจำ ก็จะช่วยบรรเทาอาการปวด อันเนื่องมาจากโรคไส้เลื่อน หรือลูกอัณฑะบวม และยังช่วยรักษาโรคโลหิตจาง
สำหรับผู้มีอาการของท้องร่วงเรื้อรัง ให้นำเนื้อลิ้นจี่มาต้มรวมกับเนื้อพุทรา แล้วนำมากินกับน้ำ จะช่วยบรรเทาอาการท้องร่วงเรื้อรังได้ได้เป็นอย่างดี
Mangosteen ~
มังคุด ช่วยในเรื่องของการทำงานของระบบไหลเวียนเลือด ระบบไหลเวียนเลือดซึ่งหมายรวมถึงหัวใจ เลือด และ หลอดเลือด การไม่ให้ความใส่ใจในเรื่องของการลดน้ำหนักรวม ไปถึงสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อหัวใจเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตและทุพพลภาพในประเทศสหรัฐอเมริกา และหลายๆประเทศในสหภาพยุโรป
ช่วยในเรื่องของการทำงานของกระดูกข้อต่อ
กระดูกอ่อนเป็นเนื้อเยื่อที่ใช้ในการเชื่อมต่อพบในกระดูกข้อต่อ กระดูกซี่โครง หู และจมูก กระดูกข้อเข่าซึ่งมีความซับซ้อน มากที่สุดในร่างกายและเป็นส่วนที่ได้รับการบาดเจ็บได้บ่อยที่สุดเมื่อเทียบกับข้อต่อส่วนอื่นๆทั้งหมดในร่างกาย
ช่วยในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
อาการอักเสบเป็นอาการเริ่มต้นของระบบภูมิคุ้มกันที่เกิดการติดเชื้อ อาการของโรคจะมีรอยแดง บวมพอง ซึ่งเกิดจากการไหลเวียนเลือดที่เพิ่มมากขึ้น

กับคําว่าล้างพิษ แม้ช่วงหลังจะไม่ค่อยฮิตเหมือนเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่ก็ถือว่ายังอยู่ในกระแส เพราะยังเป็นที่สนใจสําหรับคนที่อยากลดความอ้วน จึงขอนําเสนอทางเลือกหนึ่งในการล้างพิษ จากหลากหลายวิธี

การล้างพิษ หรือ detoxify ในภาษาอังกฤษ แปลว่าการขับเอาสารที่เป็นพิษออกจากร่างกาย แต่ การล้างพิษไม่ได้หมายความว่าให้เอาสารอะไรไปล้างอะไร แต่ใช้วิธีส่งเสริม หรือเร่งให้ร่างกายขับล้างพิษออกไปให้มากกว่าปกติ การล้างพิษมีหลายวิธี วิธีหนึ่งที่น่าสนใจคือ การอด

คําว่า อด โดยคําจํากัดความแปลว่า กินให้น้อยกว่า 800 แคลอรี่ต่อวัน ดังนั้นการอดจึงมีหลายวิธี จะกินผลไม้ทั้งวัน ดื่มน้ำผลไม้ทั้งวัน หรือกินผลไม้ และดื่มน้ำผลไม้ทั้งวันก็ได้ ดื่มน้ำเปล่าๆ ทั้งวันก็ได้ หรือจะไม่กินอะไรเลยทั้งวันก็ได้ แต่ถ้าหากคุณจะเริ่มอด แนะนําให้ใช้วิธีกินผลไม้อย่างเดียว และแนะนําให้อดเพียงวันเดียว(24 ชั่วโมง)

เริ่มต้นจากให้เลือกผลไม้ที่ชอบมาอย่างใดอย่างหนึ่ง ยกเว้นทุเรียน น้อยหน่า ลําไย ลิ้นจี่ ขนุน เพราะผลไม้เหล่านี้มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตสูง จะทําให้ระบบย่อยไม่ได้พักอย่างเพียงพอ รวมทั้งไม่ควรเลือกสับปะรด เพราะอาจจะกัดปาก เมื่อเลือกได้แล้วก็ให้กิน ผลไม้นั้นเป็นอาหารเช้า กลางวัน และเย็น ถ้าคุณหิวก็ให้ดื่มน้ำผลไม้เป็นมื้อเบรกได้

วันที่คุณตั้งใจจะล้างพิษด้วยการอด ควรเป็นวันที่อยู่กับบ้าน แล้วเริ่มต้นอดตั้งแต่มื้อเช้าไปเรื่อยๆ จนถึงเช้าของอีกวัน เป็นการเลิกอดด้วยการดื่มน้ำ 2 ลิตร แต่ละลิตรให้บีบน้ำมะนาวลงไป 2 ลูก ใส่เกลือลงไปลิตรละ 2 ช้อนชาพูนๆ ดื่มให้หมด จากนั้นคุณจะถ่ายออกมาเป็นน้ำ (ที่คุณดื่มเข้าไปนั่นแหละ) เป็นการทําความสะอาดล้างท่อลําไส้

สําหรับผลไม้ที่ช่วยในการล้างพิษที่ดีคือ

แอปเปิ้ล : เป็นผลไม้ที่ดีที่สุดสําหรับการขจัดของเสียออกจากร่างกาย สารเปกตินในแอปเปิ้ลจะช่วยนําสารพิษไปกําจัดทิ้ง ทั้งยังป้องกันไม่ให้โปรตีนในลําไส้เกิดการบูดเน่า แถมยังมีเส้นใยมากที่จะทําหน้าที่ทําความสะอาดลําไส้ ช่วยให้ตับและระบบย่อยอาหารทํางานได้ดีขึ้น และยังเหมาะกับคนที่กําลังลดน้ำหนักอีกด้วย

องุ่น : เป็นสารฟอกล้างสําหรับผิวหนัง ตับ ลําไส้ และไตโดยเฉพาะ เนื่อง จากองุ่นมีคุณสมบัติรักษาน้ำมูกที่จะออกมาจากเยื่อเมือกต่างๆ ในร่างกาย องุ่นยังให้พลังงานสูงและนําไปใช้ได้ง่าย อุดมด้วยเกลือแร่ จึงช่วยบํารุงเลือดและซ่อมสร้างเซลล์ในร่างกาย

มะละกอ มะม่วง : มีลักษณะที่คล้ายกัน แต่มะม่วงจะมีสารสําคัญน้อยกว่ามะละกอเล็กน้อย ผลไม้ทั้งสองชนิดมีเอนไซม์ชื่อปาเปน ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับน้ำย่อยเปปซินในกระเพาะอาหาร ที่จะช่วยทําให้ของเสียที่เป็นโปรตีน แตกตัวได้เร็วเช่นเดียวกับโปรเมลิน

แตงโม : จะมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ช่วยฟอกล้างร่างกายได้เป็นอย่างดี ใช้รักษาแผลในกระเพาะ ลดความดันเลือดสูง ทําให้สบายท้อง ผลที่คาดว่าจะได้จากการล้างพิษโดยการอดคือ น้ำหนักจะลดลง ควบคุมน้ำหนักตัวได้ดีขึ้น ไขมันในเลือดจะลดลง ความดันเลือด ลดลง กระปรี้กระเปร่ามากขึ้น ผู้ที่เป็นเบาหวาน จะควบคุมเบาหวานได้ง่ายขึ้น การอด 24 ชั่วโมง นี้ ถ้าคุณไม่เป็นโรคหัวใจ เบาหวาน หรืออ่อนเพลียมาก ก็สามารถทําได้เองที่บ้าน

แต่ข้อควรตระหนักประการหนึ่งคือ คนท้องและเด็กที่อายุไม่ถึง 18 ปี ห้ามอดเด็ดขาดและถ้าคุณมีปัญหาเรื่องโรคหัวใจ เบาหวาน หรือมีอาการอ่อนเพลียมาก ควรอยู่ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น