วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2554

เคล็ดลับ หุ่นดี สุขภาพดี




ทั้งๆ ที่เริ่มต้นวันด้วยอาหารเช้ามื้อใหญ่ แล้วเริ่มงานตั้งแต่เช้าไปจนค่ำ บางคืนก็เลยไปจนดึกดื่น เวลาหลับเวลานอนก็น้อยนิด ข้าวเย็นก็งด น้ำตาลแท้ๆ ก็ไม่แตะ น้ำอัดลมนั้นบอกเลิกไปนานแล้ว ไปไหนก็เรียกหาแต่น้ำผลไม้คั้นสด อุตส่าห์เจียดวันพักผ่อนเพียงวันเดียวไปเล่นโยคะร้อนทุกอาทิตย์ก็แล้ว แต่ทำมั๊ยทำไมก็ยังทั้งอ้วน ทั้งโทรม ไม่เห็นผอมและเฟิร์มอย่างที่ตั้งใจไว้สักที บางทีคำตอบอาจจะเป็นเพราะเราใช้ชีวิตแบบ "ฝืน" ธรรมชาติกันเกินไปก็ได้นะคะ

ธรรมชาติคือความสมดุล

สุขภาพที่ดีต้องประกอบด้วยความสมดุลของการกิน พักผ่อน และออกกำลังกาย สมดุลในที่นี้หมายถึงมีความพอดี สอดคล้อง ไม่หักโหมไปที่ส่วนใดส่วนหนึ่งมากเป็นพิเศษ คนรักตัวเองฟังแล้วอาจจะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องยากเกินการปฏิบัติ เพียงแค่เพิ่มความใส่ใจและมีระเบียบวินัยในการใช้ชีวิตอีกหน่อยเท่านั้น

* การกิน คนเราต้องการพลังงานจากอาหารวันละ 3 มื้อ แต่ละมื้อจึงควรบริโภคอาหารที่ให้พลังงาน ได้แก่คาร์โบไฮเดรตหรือโปรตีน นอกจากนี้ยังควรได้รับไฟเบอร์หรือเส้นใย น้ำ รวมถึงวิตามินและเกลือแร่ต่างๆ ที่ร่างกายต้องการในปริมาณที่เพียงพอต่อการนำไปใช้ การบริโภคมากกว่าการนำไปใช้ย่อมทำให้เกิดการสะสมเป็นไขมันส่วนเกิน


* พักผ่อน กินเพื่อให้ได้พลังงานและสารอาหารที่ต้องการอย่างเพียงพอแล้ว ร่างกายยังต้องการพักผ่อนนอนหลับอย่างเพียงพอด้วย ในเมื่อทำงานมาตลอดวัน รีดออกมาทั้งพลังสมองและกำลังกาย พอตกค่ำก็ต้องนอนหลับให้ร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ การทำงานหนักแต่นอนน้อยจึงทำให้ร่างกายทรุดโทรมและไม่ผอม เพราะร่างกายที่ขาดการพักผ่อนจะเร่งการเผาผลาญมากขึ้น ทำให้คุณรู้สึกหิวกว่าปกติ และกระหายน้ำตาลจนน่ากลัวในวันรุ่งขึ้น

* ออกกำลังกาย รู้ดีว่าการออกกำลังกายมีคุณประโยชน์กับสุขภาพมากมาย ตั้งแต่ช่วยเผาผลาญพลังงานส่วนเกิน ช่วยกระชับกล้ามเนื้อ สร้างความกระฉับกระเฉง สดใส มีความสุข ร่างกายแข็งแรง นอนหลับสบาย และช่วยสร้างความมั่นใจในตัวเอง



การออกกำลังกายแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ การออกกำลังกายแบบแอโรบิก ที่ช่วยเพิ่มอัตราการสูบฉีดโลหิตของหัวใจ เช่น เดิน วิ่ง ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน เต้นรำ หรือกระโดดเชือก เพื่อบริหารกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรง ควรออกกำลังกายแบบแอโรบิกนานครั้งละ 45 นาที สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง การออกกำลังกายประเภทที่ 2 ได้แก่ การบริหารความแข็งแกร่ง ได้แก่การยกน้ำหนักและเวทเทรนนิ่งต่างๆ ประเภทสุดท้ายคือ การฝึกความยืดหยุ่นของร่างกาย ได้แก่ การฝึกโยคะ พิลาทิส ฟิตบอล และไทชิ ซึ่งจะช่วยให้คุณรู้สึกสดชื่น คล่องแคล่ว สงบ และมีสมาธิ

ลดน้ำหนักแบบธรรมชาติ
ถ้าสมมติฐานที่ว่าความอ้วนและสุขภาพที่เสื่อมโทรมมาจากการใช้ชีวิตแบบฝืนธรรมชาติ ระหว่างที่คุณพยายามจัดระเบียบและปรับชีวิตทั้ง 3 ส่วนให้กลับสู่ความสมดุลตามธรรมชาติ ทำไมไม่ลองลดความอ้วนด้วยวิธี "ธรรมชาติบำบัด" ไปพร้อมๆ กันล่ะคะ!

นายแพทย์บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล แห่งศูนย์ธรรมชาติบำบัดบัลวี กล่าวไว้ข้อหนึ่งว่า วิธีลดความอ้วนด้วยธรรมชาติบำบัด ที่สำคัญคือ ต้องออกกำลังกาย และ ควบคุมอาหาร ก่อนจะแนะนำสูตรควบคุมอาหาร ซึ่งมีให้เลือกปฏิบัติตามแต่ความถนัดของแต่ละคน

1. ไม่กิน(ข้าว) มื้อเย็น วิธีนี้เหมาะจะเป็นบันไดขั้นแรกสู่สูตรต่อๆ ไป โดยในมื้อเช้าและกลางวันสามารถกินได้ตามปกติ เฉพาะมื้อเย็นเท่านั้นที่กินอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ข้าว อาจจะหาจานเปล่ามา 1 ใบ ใส่ผักสดให้เต็มจาน แล้วกินกับกับข้าวไทยๆ อาทิ น้ำพริกปลาทู แกงส้ม แกงเลียง ยำ ลาบ งดกับข้าวมันๆ เช่นผัดผักมันๆ ของทอด และแกงกะทิ

2. อดอาทิตย์ละวัน เลือก 1 วันในสัปดาห์สำหรับงดเนื้อสัตว์ ไขมัน ข้าว แล้วกินแต่ผลไม้อย่างเดียวทั้งวัน เช่น มะละกอสุก

3. อดด้วยน้ำผลไม้ 3 วัน วิธีการคล้ายกับสูตรที่ 2 เพียงแต่เปลี่ยนจากการกินเนื้อผลไม้มาเป็นการดื่มน้ำผลไม้วันละชนิด
ติดต่อกัน 3 วัน

4. อดเพื่อสุขภาพ 10 วัน เริ่มจาก 2 วันแรกกินแต่ผลไม้ ต่อจากนั้นกินผักและผลไม้สดชนิดต่างๆ จนครบ 10 วัน ซึ่งใน 10 วันนี้ถ้าทำอย่างเข้มงวด น้ำหนักจะหายไปประมาณ 3-4 กิโลกรัม

5. กินเนื้อกับผัก สูตรนี้เข้าข่ายการกินแบบ "พร่องแป้ง" หรือ "โลว์-คาร์บ(Low-Carb)" คือกินได้ทุกอย่าง โดยแตะคาร์โบไฮเดรตซึ่งรวมทั้งแป้ง ข้าว และผลไม้ให้น้อยที่สุด โดยกินผักปริมาณ 2 เท่าของเนื้อ

แม้ว่าการที่ร่างกายไม่ได้รับพลังงานหลักจากคาร์โบไฮเดรตตามปกติ จะทำให้ร่างกายอยู่ในสภาพเดียวกับภาวะอดอาหาร จนต้องไปดึงพลังงานส่วนเกินที่เก็บสำรองไว้มาใช้ก็จริง แต่ส่วนหนึ่งของพลังงานสำรองอาจเป็นโปรตีนจากกล้ามเนื้อ การกินเนื้อกับผักนานๆ จึงอาจส่งผลให้คุณผอมแบบกล้ามเนื้อหย่อนคล้อย จึงจำเป็นต้องรักษามวลกล้ามเนื้อไว้ด้วยการออกกำลังกายแบบแอโรบิก ซึ่งจะช่วยเปลี่ยนไขมันเป็นกล้ามเนื้อได้ นอกจากนี้หากบริหารความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อเฉพาะส่วน อย่างการยกเวทไปพร้อมกันด้วย ก็จะช่วยเพิ่มขนาดกล้ามเนื้อให้สวยงามและดูดียิ่งขึ้นด้วย

หากคุณมีความพยายามจริงจัง จะใช้ทั้ง 5 วิธีผสมผสานกันก็ได้ แต่ควรคำนึงว่าผักและผลไม้ที่จะกินควรมีความใหม่สดและผ่านการล้างอย่างสะอาดดีแล้ว ส่วนจะกินแบบนี้อยู่นานแค่ไหนก็ให้ติดตามจากผลของน้ำหนักตัวว่าได้ตามที่ต้องการแล้วหรือยัง เมื่อพอใจแล้วก็ค่อยๆ ปรับเพิ่มแป้งทีละนิด อย่างไรก็ตามแม้จะกลับมากินเหมือนเดิมแล้ว ก็ยังควรดูแลตัวเองด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสกัดไม่ให้ไขมันกลับมาพอกพูนใหม่ได้ง่ายๆ อีก

สำหรับสัดส่วนของอาหารปกติหลังจากเข้าโปรแกรมกินเนื้อ-กินผักแล้วนั้น ควรเป็นการกินตามแนวธรรมชาติบำบัดคือ แต่ละวันกินข้าวกล้อง 3 มื้อ ผักสด 2 จาน ผลไม้ 2 ผล(ขนาดเท่ากับผลแอ็ปเปิ้ล) น้ำผลไม้คั้นสด 1 แก้ว กินเนื้อสัตว์วันละไม่เกิน 1 ฝ่ามือ อาหารไขมัน(จำพวกผัดและทอด) วันละไม่เกิน 2 อย่าง พร้อมๆ กับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยรักษาน้ำหนักตัวให้เหมาะสม มีรูปร่างที่สมส่วน และสุขภาพโดยรวมที่แข็งแรงมากขึ้น

เห็นไหมว่าการลดน้ำหนักแบบธรรมชาติบำบัดทำไม่ยาก ไม่ต้องอดจนหิวไส้กิ่ว ไม่ต้องใช้เงิน ยา หรืออาหารเสริมลดความอ้วนเลย แค่ปฏิบัติตามสูตรเพื่อรูปร่างแข็งแรงและสุขภาพที่ดีขึ้น มีข้อดีมากมายอย่างนี้จะไม่ทดลองลดกันดูบ้างหรือคะ? อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากหนังสือ คู่มือล้างพิษ 1 วัน, อดด้วยน้ำผลไม้, ล้างพิษ 10 วัน และกินเนื้อกินผัก รักษาเบาหวานแบบไม่ต้องอด ทั้งหมดโดยสำนักพิมพ์รวมทรรศน์ และ http://www.balavi.com/

เคล็ดลับการกินของสาวหุ่นดี
* เพิ่มผัก ถ้าอยากผิวสวยและรูปร่างฟิตเฟิร์มแบบ น้องฟ้า-นาตาลี เกลโบวา อดีตมิสยูนิเวิร์ส หวานใจ ภราดร ศรีชาพันธุ์ ต้องเพิ่มผักทุกมื้อ นาตาลีบอกว่าไม่ว่าจะเป็นผักดิบหรือผักสุกก็มีแคลอรีน้อย แต่กินพื้นที่ในกระเพาะมาก ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น ทั้งยังมีไฟเบอร์สูง ช่วยระบบการย่อย และรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่

* วันละ 2 มื้อ ซูเปอร์โมเดล ลูกเกด-เมทินี กิ่งโพยม เผยเคล็ดลับในการกินรักษาเชฟว่า จะไม่กินอะไรหลังหกโมงเย็น ลูกเกดเริ่มวันด้วยมื้อเช้า เธอชอบดื่มน้ำผัก-ผลไม้ที่คั้นแยกกากกับขนมปังโฮลวีต มื้อกลางวันสามารถกินได้ตามต้องการ แต่ถ้าเลือกได้จะกินก๋วยเตี๋ยว ซึ่งเบาท้องกว่าข้าว นับๆ ดูแล้วลูกเกดจึงกินเป็นเรื่องเป็นราวแค่วันละ 2 มื้อเท่านั้น


กำลังลด ต้อง 'งด' ก่อน* ข้าวทุกชนิด ไม่ว่าจะข้าวสวย ข้าวเหนียว ข้าวต้ม แม้แต่ข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือ ซึ่งแม้จะมีประโยชน์มาก แต่ตอนที่กำลังลด ต้องงดก่อน ได้น้ำหนักที่พอใจเมื่อไหร่ค่อยกลับมากินข้าวกล้อง

* แป้งทุกชนิด ไม่ว่าจะขัดขาวหรือไม่ขัดขาว นอกจากนี้ไม่เฉพาะขนมปัง แต่ยังรวมถึงขนมจีน ก๋วยเตี๋ยว พาสต้า และวุ้นเส้นด้วย

* น้ำตาลทุกชนิด รวมทั้งน้ำตาลเทียม ซึ่งแม้จะไม่ให้พลังงานแต่ก็จัดเป็นอาหารขยะประเภทหนึ่ง เมื่อกินเข้าไปก็รังแต่จะไปเพิ่มภาระให้ร่างกาย ทำให้รู้สึกหิวบ่อยยิ่งขึ้น

* ผลไม้ทุกชนิด แม้ผลไม้หลายชนิดจะไม่มีรสหวาน แต่ก็ประกอบด้วยแป้ง ซึ่งร่างกายสามารถเปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้ เช่นเดียวกับข้าว ซึ่งแม้ไม่หวานแต่ก็มีแป้งมาก

* ถั่วทุกชนิด ถั่วประกอบด้วยโปรตีน 1 ส่วน แป้งอีก 1 ส่วน การกินถั่วมากๆ จึงเพิ่มปริมาณแป้งให้กับร่างกายโดยไม่รู้ตัว ช่วงที่กำลังลดให้ได้น้ำหนักตัวที่พอใจจึงควรเลี่ยงถั่วทุกชนิด รวมทั้งน้ำเต้าหู้ด้วย อย่างไรก็ตามเต้าหู้ ซึ่งผ่านกระบวนการที่สกัดแป้งออกไปหมด เหลือเพียงส่วนของโปรตีนล้วนๆ นั้นสามารถกินได้

* นม และผลิตภัณฑ์จากนมทุกชนิด แม้จะเป็นนมจืด หรือเพลนโยเกิร์ต เพราะในนมวัวมีน้ำตาลแลคโตสเป็นส่วนประกอบอยู่ ส่วนนมพร่องไขมันนั้นก็ถูกนำไขมันออกไปเพียงส่วนเดียว ยังเหลือคอเลอเตอรอลสูงๆ และไขมันอิ่มตัวที่ทำให้อ้วนได้อยู่ ช่วงนี้ควรงดไปก่อน

สูตรลดน้ำหนักแสนง่าย ทำได้หรือไม่ อยู่ที่คุณ!!!

ว้าย กรี๊ด ยามที่ต้องขึ้นชั่งน้ำหนักแล้วเห็นตัวเลขมันเพิ่มขึ้นเอาเรื่อยๆ มันรู้สึกน่าใจหาย ซะทุกครั้งไป  จะทำยังไงให้น้ำหนักของเราคงที่หรือลดลงไปในสภาพ ฟิตแอนด์เฟิร์ม ไม่ดูอ่อนระโหยโรยแรง ได้มั่งไหมนี่ สาวๆหลายคนคงคิดหาวิธีลดน้ำหนักกันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ไม่ต้องกลัววันนี้ เราได้รวบรวมสูตรการลดน้ำหนักที่จะทำให้สาวๆมีน้ำหนักที่สวยสมส่วน พร้อมกับมีสุขภาพที่ดีได้ มาไว้ให้แล้ว  ตามมาดูกันต่อได้ที่นี่

ลดน้ำหนักสูตรหนึ่ง
ขอบอกว่าการลดน้ำหนักสูตรนี้เรียกได้ว่าสูตรพื้นฐานในการลดน้ำหนักมั่กๆ เลยนะคะ แต่รับรองว่าได้ผลจริง เพราะลองมากับตัวเอง หนึ่งสัปดาห์ลดน้ำหนักได้ 2 – 3 กิโล เลยทีเดียว
 diet
เริ่มต้นอย่างช้าๆแต่มั่นคงในการลดน้ำหนัก ด้วยมื้อแรกของวันแรก อย่าเพิ่งหักโหมค่ะ!!! เรื่องลดน้ำหนักต้องค่อยเป็นค่อยไป

- ตอนเช้าเริ่มต้นลดน้ำหนักก็อาจจะเป็นขนมปังสักชิ้น กับโยเกิร์ตไขมันต่ำหรือนมพร่องมันเนย จะกินกาแฟ โกโก้ อะไรตามปกติก็ได้
- กลางวันก็เป็นข้าวต้มหรือเกาเหลา เกี๊ยวน้ำ
- ตอนเย็นให้เป็นแกงเลียง อ่อมผัก หรือ น้ำพริก ปลาทู ผักต้ม แบบไม่มีข้าวนะคะ

การลดน้ำหนักวันที่สอง


- ตอนเช้าอาจจะเปลี่ยนเป็น ชาหรือกาแฟไม่ใส่นม ไม่ใส่ครีม และน้ำตาลน้อยที่สุด ไม่ใส่เลยยิ่งดีค่ะ หรือถ้าไม่ทานชา กาแฟ ก็เป็นพวกน้ำผลไม้100% ขอเน้นนะคะว่า 100% อย่าไปซื้อเชียวพวกน้ำผลไม้ในตู้ จากการลดน้ำหนักจะกลายเป็นเพิ่มแทน เพราะน้ำตาลเยอะกว่าชา กาแฟอีกค่ะ ลองดูปริมาณแคลอรี่ก็ได้ ขอแนะนำให้เป็นน้ำผลไม้จำพวก แครอท แอปเปิ้ล หรือฝรั่ง ถ้าทานแบบวันแรกได้ก็ดีค่ะ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องงดขนมปังนะคะ แต่ให้เปลี่ยนเป็นขนมปังโฮลวีตเท่านั้น ถ้าแผ่นเดียวไม่พอ จะขอ 2 ก็ได้อยู่ค่ะ
- กลางวันก็ให้ทานสลัดไก่ สลัดหมู สลัดปลา อะไรก็ว่าไป ส่วนน้ำสลัดไม่จำเป็นต้องน้ำใสก็ได้ค่ะ แต่ควรจะใส่ให้พอมีรสชาดเท่านั้น
- ตอนเย็นอาจจะเป็นแกงเลียงหรือน้ำพริกเหมือนเดิม แต่ถ้าอยากหักดิบลดน้ำหนักได้เร็วๆ ก็ให้ทานไข่ต้ม 2 ฟองก็พอค่ะ

การลดน้ำหนักวันที่สาม

- เมื่อร่างกายเริ่มรับอาหารน้อยลงได้ ก็จะง่ายต่อการลดน้ำหนัก มื้อเช้าก็ให้เลือกทานชาหรือกาแฟน้ำตาลน้อยที่สุด หรือนมพร่องมันเนย หรือโยเกิร์ตไขมันต่ำกับขนมปังโฮลวีต1-2แผ่นเหมือนเดิมค่ะ
- กลางวันให้ทานสลัดเหมือนวันที่สอง
- ตอนเย็นก็ไข่ต้ม 2 ฟองค่ะ

การลดน้ำหนักวันที่สี่

- ตอนเช้าก็เลือกทานเหมือนทุกวัน
- กลางวันไข่ต้ม 2 ฟอง
- ตอนเย็นทานผลไม้ที่ไม่เพิ่มน้ำหนัก หรือซุปผัก

ส่วนการลดน้ำหนักวันที่ห้า หกและเจ็ด ก็เลือกทานสลับกันในมื้อ เหมือนวันที่สามกับวันที่สี่ แต่ขอให้เป็นพวก

- ไข่ต้ม ไม่เกิน 2 ฟอง
- โยเกิร์ตไขมันต่ำ หรือนมพร่องมันเนย
- สลัดไข่ สลัดปลา หรือสลัดไก่ไม่ติดมัน ใส่ครีมน้อย
- น้ำผลไม้ 100% หรือผลไม้ประเภทที่ทานเพื่อช่วยลดน้ำหนักได้

วันที่เจ็ดของการลดน้ำหนักอนุญาติตัวเองได้นะ ถ้าเกิดอยากทานอะไรเป็นพิเศษก็ทานได้มื้อเย็นของวันนี้เลยค่ะ พอวันต่อมาวันที่แปดก็เริ่มทานตามสูตรลดน้ำหนักเหมือนเดิมรับรองหุ่นเก๋ไก๋สไลด์เดอร์อยู่แค่เอื้อม

 BXP44740
เคทีจะเตือนก่อนว่าสามถึงสี่วันแรกของการลดน้ำหนัก ถ้าน้ำหนักไม่ลงอย่าเพิ่งเสียใจไปนะคะ เพราะรับรองว่าถ้าวันต่อๆมาเราไม่ท้อถอย นอกลู่นอกทางซ่ะก่อนได้ผลแน่ค่ะ สำหรับเคทีเองเมื่อลดน้ำหนักผ่านไปสามวันน้อยใจมากที่อุตส่าห์ลดอาหาร(เพราะปกติกินทั้งวัน) แต่ทำไมน้ำหนักไม่เห็นลดเลย เกือบจะยอมแพ้ซ่ะแล้ว แต่ก็กัดฟันลองทำต่อไป ซื่อสัตย์กับตัวเองไว้ว่าต้องลดน้ำหนักให้ได้ ปรากฏว่าชั่งน้ำหนักอีกทีประมาณวันที่หก ก็ลดน้ำหนักลงมาเหลือสองกี่โลเลยล่ะค่ะ ขนาดว่าเป็นคนที่ท้องผูกด้วยนะเนี่ยะ สันนิษฐานว่าช่วงแรกของการลดน้ำหนักเราทานเพื่อปรับสภาพร่างกาย การทานน้อยลงเป็นการควบคุมไม่ให้น้ำหนักเพิ่ม เมื่อน้ำหนักคงที่พอเราทานน้อยลงน้ำหนักก็จะลงตามค่ะ
ง่ายต่อการลดน้ำหนักอย่างต่อเนื่องในวันต่อๆมา
แต่เคทีไม่แนะนำการลดน้ำหนักโดยลดอาหารในมื้อเช้าหรือกลางวันสำหรับคนที่ต้องใช้พลังงานทั้งวัน หรือถ้าวันไหนรู้ว่าตัวเองต้องออกไปข้างนอก หรือต้องใช้สมองคิดนั่นคิดนี่ทั้งวันนะคะ เพราะจะทำให้เราหิวเร็ว เนื่องจากทานอาหารน้อยไป อาจทำให้ปวดท้อง แสบท้อง ถึงขั้นเป็นลมหรือเป็นโรคกระเพาะได้ค่ะ ฉะนั้นอย่าห่วงเรื่องลดน้ำหนักจนลืมดูแลสุขภาพด้วย

ลดน้ำหนักสูตรสอง

การลดน้ำหนักสูตรนี้เหมาะสำหรับสาวๆที่ติดการทานข้าวรวบมื้อ มีเรียนหรือทำงานช่วงสาย เคทีเคยคุยกับเพื่อนที่เรียนจบด้านโภชนาการ เขาบอกว่าไม่มีปัญหาถ้าหากว่าเราไม่ค่อยได้ใช้พลังงานระหว่างวันค่ะ เราสามารถทานมื้อเช้าและกลางวันเป็นมื้อเดียว แล้วก็ไปทานมื้อเย็นเลย หรือเฉลี่ยว่าทานสองมื้อต่อวัน ซึ่งควรเป็นช่วง 10 - 11 โมง
 eating-disorder-tm441615-51med
สำหรับการลดน้ำหนักสูตรสอง
- มื้อแรกของวันทานเท่าไหร่ก็ทานไปเลยค่ะ แต่ต้องให้อิ่มในมื้อเดียวไปเลยนะคะ เพราะเราจะได้อยู่ได้ทั้งวันจริงๆ
- มื้อเย็นให้ทานน้ำพริกกับผักต้ม แกงเลียง อ่อมผัก ไข่ต้ม หรือสลัดแทน เพราะว่าเราไม่ได้ใช้พลังงานแล้ว สูตรนี้หนึ่งสัปดาห์จะลดน้ำหนักได้หนึ่งกิโลหรืออาจมากกว่า ขึ้นอยู่กับการใช้พลังงานค่ะ

อย่างไรก็ตามเคทีเองลองสูตรลดน้ำหนักมาแล้วทั้งสองสูตร แม้ว่าสูตรลดน้ำหนักสูตรแรกจะทานครบสามมื้อแต่ทว่าทรมานมากกว่าเพราะเราต้องทานให้น้อยที่สุดเพื่อเฉลี่ยกับมื้ออื่นๆ ส่วนสูตรลดน้ำหนักสูตรที่สองเป็นอะไรที่สบายกว่าหน่อยเพราะทานได้เต็มคราบ แต่แน่นอนว่าลดน้ำหนักสูตรสองจะลดน้ำหนักได้น้อยกว่าค่ะ แต่หากเราต้องเข้างานหรือมีเรียนตอนเช้า เคทีว่าสาวๆน่าจะใช้สูตรแรกจะเหมาะกว่าค่ะ และไม่ว่าสูตรลดน้ำหนักสูตรไหนๆเพื่อนๆชาวโยพิก็อาจเอาไปประยุกต์ได้ตามชีวิตประจำวัน ที่สำคัญอย่าลืมออกกำลังกายบ้าง ดื่มน้ำมากๆ ทานแต่อาหารต้มๆ นึ่งๆ และผักผลไม้สด นอนหลับให้เพียงพอประมาน 8 ชั่วโมงต่อวันด้วยล่ะ การนอนเนี่ยะมีส่วนช่วยลดน้ำหนักด้วยนะ แต่ต้องเป็นเวลาที่เหมาะสมพอเพียงค่ะ แล้วถ้าเพื่อนๆชาวโยพิลองทำตามสูตรลดน้ำหนักและได้ผลอย่างไรก็อย่าลืมมาโพสบอกกันบ้างนะคะ

การลดน้ำหนักแบบธรรมชาติ

1.ไม่กินข้าวมื้อเย็น วิธีนี้เหมาะจะเป็นบันไดขั้นแรกสู่สูตรต่อๆ ไป โดยในมื้อเช้าและกลางวันสามารถกินได้ตามปกติ เฉพาะมื้อเย็นเท่านั้นที่กินอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ข้าว อาจจะหาจานเปล่ามา 1 ใบ ใส่ผักสดให้เต็มจาน แล้วกินกับกับข้าวไทยๆ อาทิ น้ำพริกปลาทู แกงส้ม แกงเลียง ยำ ลาบ งดกับข้าวมันๆ เช่นผัดผักมันๆ ของทอด และแกงกะทิ2.เลือก 1 วันในสัปดาห์สำหรับงดเนื้อสัตว์ ไขมัน ข้าว แล้วกินแต่ผลไม้อย่างเดียวทั้งวัน เช่น มะละกอสุก3.เปลี่ยนจากการกินเนื้อผลไม้มาเป็นการดื่มน้ำผลไม้วันละชนิด ติดต่อกัน 3 วัน4.อดเพื่อสุขภาพ 10 วัน โดยเริ่มจาก 2 วันแรกกินผลไม้ ต่อจากนั้นอีก 7 วันกินผักและผลไม้สดชนิดต่างๆ จนครบ 10 วัน ซึ่งใน 10 วันนี้ถ้าทำอย่างเข้มงวด น้ำหนักจะหายไปประมาณ 3-4 กิโลกรัม5.กินเนื้อกับผัก โลว์-คาร์บ(Low-Carb) คือกินได้ทุกอย่าง โดยไม่แตะคาร์โบไฮเดรตซึ่งรวมทั้งแป้ง ข้าว และผลไม้ให้น้อยที่สุดและกินผักปริมาณ 2 เท่าของเนื้อตามสูตรนี้แม้ว่าการที่ร่างกายไม่ได้รับพลังงานหลักจากคาร์โบไฮเดรตตามปกติ แต่ส่วนหนึ่งของพลังงานสำรองอาจเป็นโปรตีนจากกล้ามเนื้อ การกินเนื้อกับผักนานๆ จึงอาจส่งผลให้คุณผอมแบบกล้ามเนื้อหย่อนคล้อย จึงจำเป็นต้องรักษามวลกล้ามเนื้อไว้ด้วยการออกกำลังกายแบบแอโรบิก ซึ่งจะช่วยเปลี่ยนไขมันเป็นกล้ามเนื้อได้ นอกจากนี้หากบริหารความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อเฉพาะส่วน อย่างการยกเวทไปพร้อมกันด้วย ก็จะช่วยเพิ่มขนาดกล้ามเนื้อให้สวยงามและดูดียิ่งขึ้นด้วยนะคะ

กินแป้งยังไงถึง..ไม่อ้วน

วิธีการที่จะทำให้การกินแป้งไม่อ้วนมี 2 วิธีคือ (1) การเลือกกินแป้งและน้ำตาล ที่มีดัชนี ไกลซีมิก ต่ำ - ดัชนีนี้เป็นตัววัดว่า อาหารพวกแป้งและน้ำตาลนี้จะมีผลต่อระดับของกลูโคสในเลือดอย่างไร หากมีค่าไกลซีมิกสูงเท่าไร ระดับกลูโคสในเลือดก็เพิ่มขึ้นเร็วเท่านั้นโดยปกติ กลูโคสจะถือว่ามีค่าไกลซีมิกอยู่ที่ 100 ส่วนแป้งและน้ำตาลอื่นๆก็มีค่าน้อยลงลดหลั่นลงมา หากอาหารที่มีค่าไกลซีมิกต่ำกว่า 55 ถือว่ามีค่าไกลซีมิกต่ำ ส่วนระดับ 55-70 จัดว่ามีค่าอยู่ขั้นปานกลาง และระดับที่สูงกว่า 70 จัดอยู่ในขั้นสูงดังนั้น หากไม่อยากให้เกิดระดับกลูโคสในเลือดสูงเกินไป ก็เลือกกินแป้งและน้ำตาลที่มีค่าไกลซีมิกต่ำนั้นเอง>> แป้งและน้ำตาล ที่มีค่าไกลซีมิกสูง เช่น ขนมปัง (แม้แต่โฮลวีทที่มีวิตามินเยอะก็สูง) วัฟเฟิล แครกเกอร์ ข้าวขัดขาว มันฝรั่ง ไม่ว่าจะเป็น เฟรนฟราย หรือ อบ>> แป้งและน้ำตาล ที่มีค่าไกลซีมิกต่ำๆ เช่น พวกแป้งและน้ำตาลที่อยู่ในถั่วโดยส่วนใหญ่ น้ำตาลในผลไม้ ข้าวซ้อมมือ พาสต้า หรือ สปาเก็ตตี้ ปัญหาหลักของการทานดัชนีไกลซีมิกสูงๆ คือ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการฟอกสีและกระบวนการผลิตที่ทำให้อาหารที่มีค่าไกลซีมิกต่ำกลายเป็นอาหารที่มีค่าไกลซีมิกสูง อย่างพวกแป้งขัดขาวที่นำมาทำเป็นขนมปัง ดังนั้นไม่ถึงกับต้องงดหรือลดการทานแป้งและน้ำตาลคะแต่ให้เลือกพวกที่มีค่าไกลซีมิกต่ำเป็นหลัก(2) การออกกำลังกาย - การออกกำลังกายนี้จะไปกระตุ้นตับอ่อนให้ผลิตฮอร์โมนอีกชนิดหนึ่งคือ กลูคากอน มันมีหน้าที่ในการรักษาระดับของกลูโคสในเลือดไม่ให้ต่ำเกินไป โดยการสลายไกลโครเจนที่สะสมไว้เป็นกลูโคส รวมไปถึงการเอาไขมันที่สะสมมาใช้ด้วยซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่าออกกำลังกายจึงทำให้คนเราผอมลง ดังนั้นอย่ากลัวแป้งและน้ำตาลมากจนเกินเหตุนะคะ แต่ให้เราเลือกการรับประทาน และออกกำลังกายไปด้วย น้ำหนักก็ลดลงได้คะ
 
โยโย่ แอฟเฟค
 
คนที่เกิดอาการ โยโย แอฟเฟคนี้ โอกาสที่จะเกิดโรคภัยไข้เจ็บก็จะง่ายกว่าคนที่น้ำหนักคงที่ วิธีแก้ไขโยโย่เอฟเฟคทำได้โดยการออกกำลังกาย และ ควบคุมอาหาร เพราะการออกกำลังกายนี้จะช่วยลดผลร้ายที่มีต่อระบบภูมิคุ้มกัน ที่เกิดจากการที่มีน้ำหนักที่ลดลง และทำให้น้ำหนักตัวคงที่ด้วย หากคุณคนไหนที่คิดจะกินยาลดความอ้วนโดยการกินยาลดความอ้วนว่าคุณจะต้องคิดไว้เสมอว่าเอาสุขวันนี้ แล้วจะมานั่งทุกข์ในวันข้างหน้าหรือ?สำหรับคนที่เจอ โยโย แอฟเฟค เข้าแล้ว สิ่งที่ต้องจำไว้ให้ดี คือ อย่าหวนคืนไปผิดเป็นครั้งที่สอง ที่สาม ที่สี่ ทางที่ถูกคือ หันมากินแบบเพื่อสุขภาพ และออกกำลังกายสม่ำเสมอคะ ถึงแม้ว่าร่างกายจะต้องใช้เวลาปรับตัวจาก โยโย แอฟเฟค บ้างแต่ให้ใจเย็นๆ คุณควรทานให้ครบทุกมื้อ ออกกำลังกายสม่ำเสมอและเมื่อเกิดโยโย แอฟเฟค อย่าพยายามลดครั้งใหม่โดยการกินอาหารแคลอรีต่ำๆอีกนะคะ
 

วิธีแก้ผิวแตกลายจากการลดความอ้วน

สาวๆที่เคยอ้วน หรือเคยลดน้ำหนักบางคนมักจะมีปัญหาเกี่ยวกับผิวแตกและลาย ซึ่งส่วนใหญ่มักพบว่าเกิดจากน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วไม่ได้เกิดจากผอมแล้วอ้วนอย่างรวดเร็ว ซึ่งหากจะป้องกันผิวแตกลายก็อาจทำได้โดยลดความอ้วนโดยที่ไม่ได้ทำให้ เนื้อเยื่อมีความยืดหยุ่นมากก่อน เช่น การออกกำลังบริหารกล้ามเนื้อก็จะช่วยแก้ปัญหาที่จะเกิดนี้ได้ เพราะเมื่อคุณผอม กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อเกี่ยวพันจะหดตัวลงตามไม่ทัน ทำให้ มีรอยเหี่่ยวและแตกลายแตกเป็นริ้วๆขึ้น ซึ่งมักจะเจอบ่อยในบริเวณ ผิวสะโพก น่อง หน้าท้อง และเต้านม ปัญหานี้จะไม่เป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับคนผิวขาว แต่ในคนผิวคล้ำหรือผิวสองสี จะเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้กังวลใจมาก วิธีที่จะช่วยทำให้ดีขึ้นคือ คุณต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้ความชุ่มชื่นกับผิวทาเพื่อบำรุงผิวในจุดนั้นๆคะ
 

การรู้จักกินและดื่มเพื่อหุ่นสวย

การลดน้ำหนักที่ดีก็คือ การควบคุมอาหารที่จะใส่ปากใส่ท้อง และรวมไปถึงเครื่องดื่มต่างๆให้อยู่ในปริมาณที่พอเหมาะและจะต้องมีประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย ลองตรวจสอบกันดูสิว่า เรารับประทานอาหารและเครื่องดื่มกันถูกต้องเหมาะสมกันหรือไม่1. งดกินของทอด อาหารจำพวกทอดๆ ได้แก่ ไก่ทอด ลูกชิ้นทอด มันฝรั่งทอด และยังมีอีกหลากหลายเมนูทอดทั้งหลายที่ล้วนอุดมไปด้วยไขมัน ขอให้งดกินเด็ดขาด นอกจากจะจับตัวเป็นชั้นไขมันตามร่างกายแล้วยังก่อให้เกิดไขมันอุดตันในเส้นเลือด เกิดโรคภัยไข้เจ็บตามมาอีกมากมายอย่าลังเลที่จะงดกินของเหล่านี้กันเลย
2. เลิกกินกาแฟกับขนมปังมื้อเช้า มื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด ร่างกายควรจะได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนมีประโยชน์มากกว่ากาแฟหนึ่งแก้วและขนมหนึ่งแผ่นเท่านั้น เปลี่ยนเป็นนมกับซีเรียล โจ๊กสักชาม หรือข้าวกับแกงจืดก็ยังได้ เพราะอาหารมื้อเช้าจะถูกนำไปใช้เป็นพลังในการทำงานระหว่างวันมากกว่ามื้ออื่น
3. กินผักผลไม้ให้ได้ทุกมื้อ ถ้าเป็นเป็นไปได้ควรกินผักและผลไม้สดๆให้ได้ครบทุกมื้อ เพราะผักและผลไม้มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย อุดมไปด้วยสารอาหารและใยอาหารที่ช่วยในการขับถ่าย อายุก็ยืนยาวและไม่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักส่วนเกินอีกด้วย
4. ดื่มน้ำผักผลไม้ หากว่าการหาโอกาสกินผักผลไม้สดๆเป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะการกินให้ได้ทุกมื้อและในจำนวนปริมาณที่มากๆ วิธีหนึ่งที่เป็นทางแก้ก็คือการดื่มน้ำผักผลไม้แทน โดยหาเครื่องสกัดน้ำผักผลไม้มาสกัดน้ำดื่ม จะได้ประโยชน์มากทีเดียวเพราะร่างกายจะดูดซึมสารอาหารไปใช้ได้เร็วกว่าการรับประทานผักผลไม้สดๆ ถ้าไม่มีเครื่องสกัดน้ำผลไม้ เครื่องปั่นธรรมดาก็พอที่จะทำได้ หั่นเป็นชิ้นเล็กๆใส่น้ำผสมเข้าไป ปั่นแล้วกรองเอาแต่น้ำดื่ม แต่มีข้อยกเว้นว่าต้องไม่เป็นผลไม้ที่มีรสหวานจัด เพราะสามารถทำให้อ้วนได้เหมือนกัน
5. งดดื่มน้ำอัดลมโดยเด็ดขาด น้ำหวานน้ำอัดลมไม่จำเป็นจริงๆก็ขอให้งดดื่มโดยเด็ดขาดเพราะน้ำอีดลมประกอบไปด้วยน้ำตาลเป็นส่วนใหญ่ แล้วน้ำตาลส่วนเกินที่ได้รับจากการดื่มน้ำอัดลมก็จะไปสะสมในร่างกาย ทำให้อ้วนและกลายเป็นโรคเบาหวานในที่สุด
6. ลดปริมาณอาหารแต่ละมื้อ ขอย้ำว่าให้ลดปริมาณอาหารที่รับประทานแต่ละมื้อ เคยกิน 2 จาน ก็ให้เหลือ 1 จาน เคยกินจานโตๆ ก็ลดมาเหลือครึ่งจาน ไม่ใช่ให้อดอาหาร การอดอาหารจะทำให้ร่างกายอ่อนแอขาดภูมิต้านทาน และเมื่อกินมื้อต่อไป ร่างกายจะทำการสะสมเป็นไขมันเพื่อชดเชยมื้อที่อด 7. อย่าปล่อยให้หิวมากเกินไป การปล่อยให้มีความรู้สึกหิวจนท้องไส้กิ่ว บิดไปบิดมา ไม่ว่าจะเป็นเพราะยอมอดเพื่อความผอมหรือไม่ได้อด แต่รู้สึกหิวจริงๆ ละก็ อย่าปล่อยให้รู้สึกหิวจนทรมานอย่างนั้น หาอะไรเป็นของว่างประเภทผลไม้ไม่มีรสหวานก็ได้ กินพอระงับความหิว เพราะถ้าปล่อยให้ตัวเองหิวจัดมากๆ พอถึงเวลากินอาหารแล้วจะกินมากกว่าเดิมเป็น 2-3 เท่าเชียว
8. เคี้ยวอาหารให้ละเอียดอย่างช้าๆ คนที่กินอาหารด้วยความรวดเร็วจนเหมือนว่าไม่ได้เคี้ยวอาหารเลยสักนิด นอกจากจะทำให้กระเพาะทำงานหนักในการย่อยอาหารแล้ว ยังทำให้ท้องอืดและกินอาหารได้มากกว่าปกติ เพราะยิ่งกินเร็วก็เหมือนว่ากินได้น้อยและไม่อิ่มเสียที กว่าจะรู้สึกอิ่มก็แน่นท้องเสียแล้ว โดยปกติเราจะรับรู้ว่าอิ่มก็ใช้เวลาประมาณ 20 นาที กว่ากระเพาะจะส่งสัญญาณให้รับรู้ว่าอิ่ม คนที่กินเร็วๆ จึงมีโอกาสกินมากเกินความต้องการของร่างกาย
9. ดื่มน้ำก่อนกินอาหาร ดื่มน้ำสัก 2 แก้วก่อนรับประทานอาหารไม่เกิน 30 นาที เพราะเมื่อมีน้ำอยู่ในกระเพาะ จะช่วยทำให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น แม้ว่าอยากกินก็กินต่อไม่ไหว
10. เลี่ยงการกินไขมันแต่ไม่ใช่งดกิน ไขมันมีทั้งประเภทไขมันแบบดีเป็นประโยชน์แก่ร่างกาย และแบบไม่ดีไม่เป็นประโยชน์แก่ร่างกาย เราจึงไม่ควรจะงดกินไขมันไปเสียทุกประเภท อะไรบ้างที่เป็นไขมันแบบดี ก็คือไขมันที่ได้จากปลา จากพืช เพราะไขมันเหล่านี้เป็นไขมันไม่อิ่มตัว จะไปช่วยลดการสะสมของไขมันที่จะไปอุดตันเส้นเลือด แล้วเจ้าไขมันแบบที่ไม่ดีล่ะ ก็คือ ไขมันจากสัตว์ กินเข้าไปมากๆ ก็จะสะสมก่อให้เกิดไขมันอุดตันในเส้นเลือด ดังนั้นจึงควรเน้นกินไขมันประเภทไขมันแบบดีมีประโยชน์ให้มาก
11. กินมังสวิรัติ ถ้าเป็นไปได้ลองกินอาการมังสวิรัติเป็นประจำก็จะดีมีประโยชน์ เพราะเมนูอาหารจะเป็นผักเสียส่วนใหญ่ แต่ก็ต้องระวังอย่ากินแป้งมากเกินไป เลี่ยงอาหารจำพวกผัดๆ ทอดๆ ที่มันมากเกินแล้วก็อย่าลืมกินโปรตีนจากถั่วแทนเนื้อสัตว์ด้วยละ12. ดื่มนมพร่องมันเนย หากว่าดื่มนมเป็นประจำก็สามารถดื่มได้ แต่ให้เลี่ยงเป็นนมพร่องมันเนยแทน จะได้ไม่อ้วน เพราะร่างกายของเราเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว ไขมันจากนมจึงไม่จำเป็นมากนัก
 

วิธีลดความอ้วน วิธีลดน้ำหนัก

วันนี้ขอเสนอวิธีลดน้ำหนักลองที่สามารถนำมาใช้ ลดความอ้วนแบบโลคาร์บกันได้เลยค่ะ ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีลดความอ้วนที่เน้นตรงที่เราจะทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตต่ำและดีกับร่างกายเช่น ผัก ผลไม้ ข้าวกล้อง โฮลวีต ธัญพืช และพืชตระกูลถั่ว เป็นต้น โดยจะแบ่งเป็น 3 ช่วง และเหมาะกับคนที่ชอบทานอาหารหลากหลาย โดยมีเคล็ดลับคือ ดื่มแอ๊บเปิ้ลไซเดอร์วีนีการ์ เจือจางทุกเช้า เพื่อช่วยย่อยและขับของเสียออกจากร่างกายค่ะ ถ้าหาไม่ได้ใช้มะนาว 1 ลูกบีบใส่น้ำอุ่น ดื่ม 1 แก้วทุกเช้าแทนได้ค่ะ

ช่วงที่ 1 เน้นการรับประทานแต่กับข้าว และผักปรุงด้วยน้ำมันมะกอก (ถ้าสามารถหาได้) กับข้าวควรปรุงด้วยเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน ไก่ไม่ติดหนัง ไข่ ปลา อาหารทะเล นม ไขมันต่ำ ผลิตภัณฑ์จากนม ถั่ว และน้ำมันมะกอก ทานได้มากเท่าที่ต้องการ คุณสามารถทานยำ ส้มตำ เกาเหลา สเต๊ก ราดหน้าหรือพาสต้าเกาเหลาได้ค่ะ จะเน้นว่าไม่ใส่เส้น หรือแม้แต่วุ้นเส้นก็ไม่ใส่นะคะ ช่วงนี้ใช้เวลา 2 สัปดาห์ค่ะ

ช่วงที่ 2 หลังจากผ่าน 2 สัปดาห์แรกในช่วงที่ 1 มาแล้ว เราสามารถเพิ่มคาร์โบไฮเดรตที่ร่างกายต้องการได้ค่ะ แต่ต้องเป็นคาร์โบไฮเดรตที่ได้จากผลไม้ โฮลเกรนต่างๆ ได้แก่ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ แป้งหรือขนมปังที่ไม่ขัดสี พืชตระกูลถั่ว และซีเรียลต่างๆ เพิ่มได้เพียง 1 อย่างต่อวันค่ะ ค่อยๆ เพิ่มปริมาณคาร์โบไฮเดรตนะคะ อย่ามากเกินไป ลองจดบันทึกว่า แต่ละวัน เรากินอะไรไปบ้าง ให้ผลอย่างไรบ้างนะคะ จะทำให้เรารู้ว่า เราทานคาร์โบไฮเดรตชนิดไหน ทำให้เราลดน้ำหนักได้ดีกว่า ให้อยู่ในช่วงนี้จนกว่า จะลดน้ำหนักจะลงมา จนคุณพอใจค่ะ ส่วนใหญ่จะลดได้ 0.5-1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ค่ะ

ช่วงที่ 3 เป็นช่วงที่ทุกคนชอบมาก เพราะสามารถทานอะไรก็ได้ เพราะได้เรียนรู้ในช่วงที่ 2 แล้วว่าอะไรที่เป็นประโยน์ ทานแล้วได้ผลดีกับเรา เราก็ทานสิ่งนั้นค่ะ หากว่าน้ำหนักขึ้น ก็สามารถย้อนกลับไปแก้ไข ตามแบบช่วงที่ 1 ใหม่ได้ค่ะ เพียง 1-2 สัปดาห์ ก็จะกลับมาสวยเหมือนเดิมค่ะ ช่วงนี้เป็นช่วงที่ คุณจะต้องทำไปตลอดจนเป็นนิสัยค่ะ แล้วคุณจะควบคุมน้ำหนักได้ระยะยาวเลยทีเดียวค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น